เรื่องน่ารู้
Bear Market และ Bull Market
Table of Contents
รู้ให้ชัด! ความแตกต่างระหว่าง Bear Market และ Bull Market
Bear Market (ตลาดหมี) และ Bull Market (ตลาดกระทิง) เป็นคำที่ใช้ในการอธิบายทิศทางและอารมณ์ของตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างๆ โดยทั้งสองคำมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1. Bear Market (ตลาดหมี)
- ลักษณะ: ตลาดที่ราคาสินทรัพย์โดยทั่วไปมีแนวโน้มลดลง หรืออยู่ในช่วงการตกต่ำ
- การเคลื่อนไหวของราคา: ราคาลดลงมากกว่า 20% จากระดับสูงสุดที่ผ่านมา
- สาเหตุ: เกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ไม่ดี เช่น ภาวะถดถอย เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการขาดทุนทางธุรกิจ
- อารมณ์ของนักลงทุน: นักลงทุนจะรู้สึกวิตกกังวลและไม่มั่นใจในการลงทุน มักขายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง
- การตอบสนอง: นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการลงทุนหรือขายหุ้นเพื่อลดการขาดทุน
- ตัวอย่าง: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2008
2. Bull Market (ตลาดกระทิง)
- ลักษณะ ตลาดที่ราคาสินทรัพย์โดยทั่วไปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หรืออยู่ในช่วงการเติบโต
- การเคลื่อนไหวของราคา ราคาสูงขึ้นมากกว่า 20% จากระดับต่ำสุดที่ผ่านมา
- สาเหตุ เกิดจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ดี เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ของบริษัทที่ดี หรือความมั่นใจของนักลงทุน
- อารมณ์ของนักลงทุน นักลงทุนรู้สึกมั่นใจและมักจะซื้อสินทรัพย์ในตลาดเพราะคาดหวังให้ราคาสูงขึ้น
- การตอบสนอง นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อหุ้นและเพิ่มการลงทุน เพราะคาดว่าแนวโน้มจะยังดีขึ้น
- ตัวอย่าง ตลาดหุ้นที่เติบโตในช่วงปี 2017-2020
3. เปรียบเทียบ Bear Market และ Bull Market
- ทิศทาง Bear Market ราคาลดลงในระยะยาว ส่วน Bull Market ราคาขึ้นในระยะยาว
- ความรู้สึกของนักลงทุน ใน Bear Market นักลงทุนรู้สึกวิตกกังวล ขณะที่ใน Bull Market นักลงทุนรู้สึกมั่นใจและมองในแง่บวก
- กลยุทธ์การลงทุน ใน Bear Market นักลงทุนอาจเลือกกลยุทธ์ขายทำกำไรหรือถือสินทรัพย์ระยะยาว ส่วนใน Bull Market นักลงทุนจะมองหาการซื้อเพิ่มเพื่อทำกำไรจากการขึ้นของราคาสินทรัพย์
ตลาดทั้งสองนี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน โดยตลาดหมีมักจะมีความเสี่ยงสูง ส่วนตลาดกระทิงมักสร้างโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนได้ดี