เรื่องน่ารู้
รู้จัก PMI ให้ลึก
Table of Contents
PMI คืออะไร?
PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) เป็นดัชนีที่ใช้วัดภาพรวมของภาคธุรกิจในแง่ของ “แนวโน้ม” ไม่ใช่ตัวเลขทางการเงินตรง ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต (Manufacturing) และภาคบริการ (Services)
PMI จะสะท้อน ความรู้สึก (Sentiment) ของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในแต่ละบริษัทว่า “มองบวกหรือลบ” ต่อภาวะธุรกิจในช่วงนั้น
PMI วัดอะไรบ้าง?
ตัวเลข PMI คำนวณจากการสำรวจความเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในหัวข้อหลัก ๆ เช่น
- คำสั่งซื้อใหม่ (New Orders)
- ปริมาณการผลิต (Production)
- การจ้างงาน (Employment)
- ระยะเวลาการจัดส่งจากซัพพลายเออร์ (Supplier Delivery Times)
- ปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventories)
แต่ละหัวข้อมีน้ำหนักที่แตกต่างกัน และนำมาคำนวณรวมเป็นดัชนี PMI
PMI ใช้อย่างไร?
การตีความตัวเลข PMI:
- PMI > 50 = ภาคธุรกิจกำลัง “ขยายตัว”
- PMI < 50 = ภาคธุรกิจกำลัง “หดตัว”
- PMI = 50 = ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ทรงตัว)
เช่น ถ้า Manufacturing PMI ของสหรัฐออกมาที่ 54.2 → บ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมกำลังขยายตัวดีขึ้น
ชนิดของ PMI ที่ควรจับตา
Manufacturing PMI (ภาคการผลิต)
- สำคัญเพราะภาคการผลิตมักเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ
- ตัวอย่าง: ISM Manufacturing PMI (สหรัฐ)
Services PMI (ภาคบริการ)
- สำหรับประเทศพัฒนาแล้วที่บริการคือภาคหลัก เช่น สหรัฐ อังกฤษ
Composite PMI
- รวมทั้งภาคการผลิตและบริการเพื่อดูภาพรวมทั้งประเทศ
PMI มีผลต่ออะไรบ้าง?
- ตลาดหุ้น: ตัวเลข PMI ที่ดีช่วยหนุนหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม
- ตลาดเงิน/ค่าเงิน: PMI แข็งแกร่ง = ศก.ดี = เงินแข็ง
- ธนาคารกลาง: ใช้เป็นสัญญาณตัดสินใจดอกเบี้ยหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เทคนิคเสริม
- อย่าดูตัวเลขเพียงเดือนเดียว ให้ดู “แนวโน้มหลายเดือนต่อเนื่อง”
- ดูเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น PMI สหรัฐ vs PMI จีน → วิเคราะห์โอกาสของสกุลเงินต่างประเทศ