เรื่องน่ารู้

รู้จัก PMI ให้ลึก

PMI คืออะไร?

PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) เป็นดัชนีที่ใช้วัดภาพรวมของภาคธุรกิจในแง่ของ “แนวโน้ม” ไม่ใช่ตัวเลขทางการเงินตรง ๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิต (Manufacturing) และภาคบริการ (Services)
PMI จะสะท้อน ความรู้สึก (Sentiment) ของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในแต่ละบริษัทว่า “มองบวกหรือลบ” ต่อภาวะธุรกิจในช่วงนั้น

PMI วัดอะไรบ้าง?

ตัวเลข PMI คำนวณจากการสำรวจความเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในหัวข้อหลัก ๆ เช่น

  1. คำสั่งซื้อใหม่ (New Orders)
  2. ปริมาณการผลิต (Production)
  3. การจ้างงาน (Employment)
  4. ระยะเวลาการจัดส่งจากซัพพลายเออร์ (Supplier Delivery Times)
  5. ปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventories)

แต่ละหัวข้อมีน้ำหนักที่แตกต่างกัน และนำมาคำนวณรวมเป็นดัชนี PMI

PMI ใช้อย่างไร?

การตีความตัวเลข PMI:

  • PMI > 50 = ภาคธุรกิจกำลัง “ขยายตัว”
  • PMI < 50 = ภาคธุรกิจกำลัง “หดตัว”
  • PMI = 50 = ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ทรงตัว)

เช่น ถ้า Manufacturing PMI ของสหรัฐออกมาที่ 54.2 → บ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมกำลังขยายตัวดีขึ้น

ชนิดของ PMI ที่ควรจับตา

Manufacturing PMI (ภาคการผลิต)

  • สำคัญเพราะภาคการผลิตมักเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ
  • ตัวอย่าง: ISM Manufacturing PMI (สหรัฐ)

Services PMI (ภาคบริการ)

  • สำหรับประเทศพัฒนาแล้วที่บริการคือภาคหลัก เช่น สหรัฐ อังกฤษ

Composite PMI

  • รวมทั้งภาคการผลิตและบริการเพื่อดูภาพรวมทั้งประเทศ

 PMI มีผลต่ออะไรบ้าง?

  • ตลาดหุ้น: ตัวเลข PMI ที่ดีช่วยหนุนหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม
  • ตลาดเงิน/ค่าเงิน: PMI แข็งแกร่ง = ศก.ดี = เงินแข็ง
  • ธนาคารกลาง: ใช้เป็นสัญญาณตัดสินใจดอกเบี้ยหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 เทคนิคเสริม

  • อย่าดูตัวเลขเพียงเดือนเดียว ให้ดู “แนวโน้มหลายเดือนต่อเนื่อง”
  • ดูเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น PMI สหรัฐ vs PMI จีน → วิเคราะห์โอกาสของสกุลเงินต่างประเทศ

Related Articles

Back to top button